ทริปพาเด็กน้อยขวบครึ่ง ตะลุยญี่ปุ่น ตอนที่สอง แบบไม่มีรถเข็น ไม่มีเป้อุ้ม กระเตงๆกันเพียวๆจะเป็นอย่างไรมาติดตามกันต่อได้เลยครับ
ก่อนอื่นขอขอบคุณทุกๆคำติชม ทุกๆคอมเมนท์ ทุกๆLike ทุกๆShare ในรีวิวตอนแรกของครอบครัวเรานะครับ หวังว่าทุกๆท่านคงชอบและอาจจะมีประโยชน์ต่อทุกๆท่านที่สนใจนะครับ โดยในรีวิวตอนแรกจะเป็นเรื่องการเตรียมตัว การจัดทริปต่างๆนะครับ จนถึงวันแรกของเราที่โตเกียว
สำหรับรีวิวตอนอื่นๆนะครับ
เบลล่าตามหาฟูจิซัง
เที่ยว Kawaguchigo Music Forest
Yokohama Hakkeijima Sea Paradise Aquarium ใกล้ๆโตเกียวที่่ไม่อยากให้พลาด
เบลล่าตะลุยดิสนีย์แลนด์
ขออนุญาตแนะนำเทคนิคเล็กๆน้อยๆก่อนนะครับ ลืมบอกไปในตอนที่แล้วว่า สำหรับเทคนิคการเลือกที่นั่งบนเครื่องที่จะไปโตเกียว ให้มีโอกาสเห็นฟูจิซังในวันฟ้าเปิดๆนะครับ ขาไปเลือกที่นั่งฝั่งซ้ายมือของกัปตัน ขากลับเลือกที่นั่งขวามือของกัปตัน อย่าเอาตรงปีกนะครับ ผมย้ำกับทาง เจ้าหน้าที่ไปแล้วว่าไม่เอาตรงปีก ดันเจอปีกพอดีเลย T0T ถ้าอยากรู้ตำแหน่งที่นั่งของเครื่องแต่ละรุ่นว่าเป็นอย่างไรนะครับ ก็ตามนี้ครับ http://www.seatguru.com/ เวลาจองจะได้ไม่พลาดแบบผมปีกเต็มๆเลยครับ
ตอนที่สองนี้จะเป็นรีวิว การท่องเที่ยวในวันที่สองในกรุงโตเกียวของ ปะป๊าแบงค์ หม่าม้าเล้ง และหนูเบลล่า นะครับ The Journey of B&L Family in Japan Part2 ขอเชิญมาร่วมติดตามการเดินทางของเราต่อได้เลยครับ
(เพื่อความไม่งงนะครับ ราคาบางที่เป็นราคาเก่าตอนภาษี5%ครับ หลังวันที่1เมษายน2557ขึ้นเป็น8%แล้วครับ ดังนั้นราคาอาจไม่ตรงกันนิดหน่อยนะครับ)
วันที่สองในมหานครโตเกียว เราจะพาเบลล่า หนูน้อยจอมซนของเราไปที่ Odaiba กันครับ แต่ก่อนอื่นวันนี้เราจะทำการย้ายโรงแรมไปที่ Mercure Hotel Ginza Tokyo กันนะครับ ใช้สิทธิ์พัก free night ถ้าราคาปกติโดยเฉพาะวันเสาร์จะอยู่ที่ 5-6000 บาทต่อคืน เพื่อให้เบลล่าชาร์จแบตเต็มที่ ผมจึงจะเอากระเป๋าใบเล็ก (เราจะไปที่ Mercure Hotel Ginza Tokyo 1คืน และ ไปต่อที่ Kawakuchiko อีก1คืน ) ที่เราเตรียมไว้สำหรับไปนอนที่อื่นไปฝากที่ Mercure Hotel Ginza Tokyo ก่อน เพื่อจะได้เที่ยวได้เต็มที่ โดยจะไปคนเดียว แล้วค่อยกลับมาที่ Ueno Touganeya Hotel อีกครั้ง โดยกะเวลาว่าจะพอดีกับที่เบลล่าตื่น อาบน้ำ กินอาหารเช้าเรียบร้อย ซึ่งอาหารเช้าวันนี้ก็จะเน้นง่ายๆครับ โยเกิร์ต ขนมปัง สตอเบอร์รี่ และTokyo Banana ที่ซื้อมาเมื่อคืน
8โมงเช้า ลุยๆๆ เอากระเป๋าไปที่ Mercure Ginza
ขอแทรกเกร็ดเล็กๆน้อยๆนะครับ สืบเนื่องจากกระทู้นึงใน pantip เกี่ยวกับเรื่องสิ่งที่ไม่ควรทำที่ญี่ปุ่นนะครับ http://pantip.com/topic/31730724
ขอตัดตอนมาเรื่องเกี่ยวกับมารยาทบนรถไฟนิดนึงล่ะกันนะครับ
“-ส่วนมากในรถไฟ ควรปิด เสียงมือถือ และ เลี่ยงการคุยโทรศัพท์ หรือคุยเสียงดัง ถ้าอยู่ในโซนที่ที่จับเป็นสีส้มควรปิดมือถือ เพราะว่าบางทีจะมีผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยการเต้นของหัวใจ
-คนญี่ปุ่นจะ เลี่ยงรถไฟช่วงรัช (8-10โมงเช้า) ถ้าไม่จำเป็น (คือไม่ต้องทำงาน) และจะเลี่ยงการนำสิ่งของใหญ่ๆอย่างกระเป๋าเดินทาง หรือเบบี้คาร์ขึ้นในช่วงเวลานี้ เพราะถือว่าทุกคนต้องรีบ และไม่ควรระรานสิทธิของผู้อื่น แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ให้พยายามขึ้นท้าย หรือหัวขบวนที่ไม่แน่นนัก หรือสังเกตุตรงแพลทฟอร์มจะมีบอกว่าจุดไหนเป็นจุดที่แน่น(จุดใกล้บันไดทางขื้นลง)
-แม้ที่ญี่ปุ่นจะไม่ค่อยมีน้ำใจในการสละที่นั่งให้ผู้หญิง เด็กหรือคนมีอายุ แต่เค้าก้อพยายามรักษากฏเท่าที่ทำได้ โดยไม่ระรานผู้อื่น”
หลังจากภารกิจตอนเช้าเรียบร้อย กลับมาถึง Ueno Touganeya Hotel เราก็จะมุ่งหน้าไปที่ โอไดบะ กันครับ เบลล่ายังฟินกับสตอเบอร์รี่รสเลิศลูกโตอยู่เลยครับ
ป้อนหม่าม้าหน่อย แบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ ^^อย่าหมดนะ ถ้าหมดหนูร้องไห้จริงๆด้วย
เส้นทางการเดินทางก็จะเป็นตามนี้ครับ ออกจาก Ueno ไปยัง Shimbashi แล้วไปต่อรถไฟสาย Yurikamome Line เพื่อข้ามไปยัง Odaiba ครับ
สำหรับข้อมูลเบื้องต้นของ Odaiba นะครับ
โอไดบะ เป็นเกาะจำลองขนาดใหญ่ซึ่งสร้างขึ้นจากการถมทะเลด้วยการนำขยะมาผสมกับคอนกรีตเพื่อถมทะเลบริเวณอ่าวโตเกียวในเขต Kōtō และเขต Shinagawa เขตปกครองพิเศษของกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น แรกเริ่ม โอไดบะ ถูกสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1853 เพื่อประโยชน์ในการป้องกันประเทศ โดยตามความหมายของคำว่า Daiba จะแปลว่าป้อมปราการ เมื่อเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 20 โอไดบะ ได้เติบโตอย่างรวดเร็วในฐานะเขตท่าเรือ จนถึงช่วงทศวรรษที่ 1990 โอไดบะได้กลายเป็นย่านการค้า ย่านพักอาศัย และนันทนาการที่ใหญ่โตแห่งหนึ่ง จนทุกวันนี้ โอไดบะ ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตของหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่น รวมไปถึงยังเป็นแหล่งเศรษฐกิจแห่งใหม่ของญี่ปุ่นอีกด้วย
โดยการเดินทางไปยัง โอไดบะ นั้นสามารถไปได้หลายวิธีทั้งการขนส่งสาธารณะ หรือรถส่วนตัว หรือจะเดินข้ามไปก็ได้ ซึ่งในรูปแบบการขนส่งสาธารณะก็สามารถไปได้ทั้ง รถไฟสาย Yurikamome และสาย Rinkai นอกจากนี้ยังสมารถเดินทางทางเรือได้อีกด้วยครับ ซึ่งถ้าจะสะดวกสุดน่าจะเป็นรถไฟสาย Yurikamomeครับ
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได่ที่นี่ครับ http://www.japan-guide.com/e/e3008.html
มาถึงสถานี Shimbashi แล้วก็ต้องมาต่อรถสาย Yurikamome ที่จะไป Odaiba กันครับ เดินตามป้ายไปเรื่อยๆครับ ไกลเหมือนกัน
สู้มั้ยเบลล่า “สู้ค่าาาาา”
การเดินทางใน Odaiba จะมีรถไฟสาย Yurikamome เป็นรถไฟของเอกชนไม่สามารถใช้ JR Pass หรือร่วมกับ Metro Passได้ ค่ารถไฟเริ่มต้นที่ 180 เยน สูงสุด 370 เยนครับ สามารถซื้อตั๋วเป็นเที่ยวๆ หรือชำระผ่านบัตร Suica หรือ Passmo ได้ นอกจากนั้นยังมี One day pass ของ รถไฟสาย Yurikamome จะขึ้น-ลงกี่เที่ยวก็ได้ใน 1 วัน ราคา 800 เยน ซึ่งเราเลือกแบบตั๋ววัน 800 เยนครับ เพราะสะดวกกว่าไม่ต้องมาซื้อทีละรอบและขึ้นลงได้เรื่อยๆครับ
แผนที่เส้นทางของรถไฟสาย Yurikamome ครับ สามารถดูได้เลยครับว่าอยากไปที่ไหนต้องลงสถานีอะไร บอกได้ว่าแจ่มครับ แผนที่ที่ผมติดไปพับแล้วพับอีกหยิบเข้าหยิบออก ครึ่งวันก็เปื่อยเรียบร้อย ^^
http://www.emagtravel.com/wp-content/uploads/2014/01/yurikamome_map.pdf
อากาศเย็นลมแรงเลยทีเดียวครับ ขอแวะใส่หมวกให้เบลล่าก่อนนะครับ
สำหรับจุดท่องเที่ยวหลักๆที่นักท่องเที่ยวนิยมไปท่องเที่ยวกันของ โอไดบะ ก็จะมีหลายที่ด้วยกัน นะครับ
- สะพานสายรุ้ง (Rainbow Bridge) เป็นสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองโตเกียว และเกาะ Odaiba สามารถขับรถ เดิน หรือนั่งรถไฟข้ามผ่านสะพานนี้มาได้ สะพานนี้ถือเป็นLandmark สำคัญ ของเกาะ Odaiba กันเลยทีเดียวครับ
- Palatte Town ถือเป็นศุนย์รวมห้างสรรพสินค้าต่างๆ และสถานบันเทิงไว้อย่างครบครันกันเลยครับ สถานที่ดังๆที่เป็นที่นิยมกันก็เช่น
– ห้าง Venus Fort อยู่ในบริเวณ Palatte Town ครับเป็นห้างที่สร้างเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมตะวันตก แนวๆเวนิสเลยครับ บนเพดานอาคารตกแต่งเป็นท้องฟ้า สามารถปรับเปลี่ยนแสงสีตามเวลา เป็นแหล่งรวบรวมสินค้าด้าน แฟชั่นต่างๆ สวนสนุก, game Center, พิพิธภัณฑ์, ร้าน100เยน และอื่นๆอีกมากมายเช่น
: ร้าน Kiddy Land ตุ๊กตา ของที่ระลึก ตัวการ์ตูนต่างๆ หาซื้อได้ที่นี่เลยครับ แต่นอกจากสาขานี้แล้วก็ยังมีสาขาที่ Harajuku ซึ่งของเยอะกว่าใหญ่กว่า
: History Garage ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์รถคลาสสิคในช่วงปี ค.ศ. 1950 – 1970 ดูแลโดย Toyota เข้าชมได้ฟรีครับโดยจะอยู่ที่ชั้น 1 และ 2 ของห้าง Venus Fort ชั้น 1 จะจัดแสดงรถคลาสสิคหลากหลายยี่ห้อ พร้อมบรรยากาศแบบจำลองในยุคนั้น
: Hello Kitty Kawaii Paradise สวนสนุกขนาดย่อมๆ ตกแต่งด้วยธีม Hello Kitty น่ารักสุดๆกันเลยครับ นอกจากนี้ยังมีสินค้าHello Kitty มากกว่า 1000 รายการ บางอย่างที่มีขายเฉพาะที่ร้านนี้เท่านั้นด้วยครับ
– ห้าง Leisureland เป็นห้างที่รวบรวมศูนย์ความบันเทิง มีตั้งแต่ เกมส์ โบวลิ่ง คาราโอเกะ กีฬา บ้านนินจา บ้านผีสิง โดยพื้นที่ชั้น4จะเปิดให้บริการ24ชม
– ชิงช้าสวรรค์ (Ferris Wheel) เป็น ชิงช้าสวรรค์ความสูง 115 เมตร เคยเป็น 1 ในชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในโลก เมื่ออยู่ในส่วนที่สูงที่สุดจะมองเห็นอ่าวโตเกียว และ เมืองOdaibaทั้งหมดได้อย่างชัดเจน ค่าบริการปัจจุบันคนละ 920 เยน ระยะเวลา 16 นาที คนนิยมขึ้นไปชมวิวอ่าว โตเกียว และ เกาะOdaibaกัน เปิด10โมงถึง4ทุ่ม(ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ อาจมีการปิดก่อนได้ครับ)
– พิพิธภัณฑ์ โตโยต้า (Toyota Mega Web) คนชอบรถยนต์ไม่ควรพลาด รถโตโยต้าทุกรุ่นถูกรวบรวมมาไว้ที่นี่ครบเลยครับ นอกจากนี้ยังสามารถลองนั่ง หรือลองขับรถTest Drive
- DiverCity Tokyo Plaza เป็นห้างดังอีกห้างหนึ่ง จุดเด่นเลยคือหุ่นยนต์กันดั้ม ขนาดเท่าของจริง ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก ในบริเวณห้าง ก็จะมีร้านค้าสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกันดั้ม อย่างGundam Cafe และถ้าอยากเข้าไปสัมผัสข้อมูลกันดั้มอย่างละเอียดขึ้น ก็ต้องไปที่ Gundam Front ซึ่งอยู่ในบริเวณห้าง DiverCity Tokyo Plaza สามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.divercity-tokyo.com/en/
- ห้างอควาซิตี้ (Aquacity Odaiba) นี่ก็เป็นห้างสรรพสินค้าอีกห้างหนึ่งที่คนมานิยมเที่ยวกัน แต่จุดเด่นของที่นี่ก็คือ ชั้นห้าครับ เป็น Ramen Food Theme Park รวบรวมราเม็งชนิดต่างๆ จากทั่วประเทศญี่ปุ่นมาไว้ให้รับประทานกันไปเลยที่เดียว และที่นี่ยังเป็นจุดยอดนิยมสำหรับชมวิวทั้ง สะพานสายรุ้ง และ อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพจำลอง (Statue of Liberty) นอกจากนี้สำหรับคุณพ่อคุณแม่โดยเฉพาะห้ามพลาดกันเลยกับ Toy R Us และ Baby R Us ที่อยู่บริเวณชั้นล่างของที่ตึกนี้ครับ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.aquacity.jp/en/top
- National Museum of Emerging Science and Innovation หรือที่จะเรียกกันว่า Miraikan เป็นพิพิธภัณฑ์ ที่รวบรวม เรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่เรื่องสิ่งแวดล้อม ชีววิทยา ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ และเรื่องรา เกี่ยวกับหุ่นยนต์ เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ ด฿ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.miraikan.jst.go.jp/en/
- Oedo Onsen Monogatari ถือเป็นTheme Park ที่จำลองบรรยากาศออนเซ็นในบรรยากาศย้อนไปสมัยเอโดะ เปิดตั้งแต่ปี 2003 สามารถใช้บริการได้ทั้งแบบ Indoor และ outdoor ด้วยน้ำที่สูบขึ้นมาจากระดับความลึกถึง 1400 เมตร นอกจากนี้ยังมีบริการร้านอาหาร เกมส์ บริการนวด ให้ได้สัมผัสกันอย่างครบถ้วน โดยสนนราคาที่ 2480เยน (ถ้าหลัง18.00 เหลือ 1980 เยน) จ่ายเพิ่ม200เยนในวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดต่างๆ และจ่ายเพิ่มอีก2000เยน กรณีใช้บริการข้ามคืนหลังตี2 สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ (ภาษาญี่ปุ่น) http://www.ooedoonsen.jp/daiba/
- ตึกฟูจิทีวี (Fuji TV Building) เป็นตึกสำนักงานใหญ่ของ สถานีโทรทัศน์ฟูจิ ด้านบนเปิดเป็นหอสังเกตการณ์ สามารถขึ้นไปชมวิวของเกาะ Odaibaได้ ค่าขึ้นจุดชมวิว550เยน เปิด10โมงถึง6โมงเย็นครับ
- Telecom Center จุดชมวิวอีกที่ของOdaiba เค้าบอกว่าถ้าวันไหนฟ้าใสๆเปิดๆอาจเห็นฟูจิซังกันเลยครับ ค่าเข้า 500เยน ปิดวันจันทร์ วันธรรมดาเปิดบ่ายสามถึงสามทุ่ม วันหยุดเปิด11โมงถึงสามทุ่ม
- Panasonic Center เรียกว่าเป็นshowroom ของ Panasonic ได้เลยครับ ของอะไรใหม่ๆจัดมาให้ได้ชมกันเต็มที่
- Decks Tokyo Beach ถือเป็นห้างสรรพสินค้าที่ครบครันอีกแห่งเลยครับ ทั้งร้านขายของ ร้านอาหาร สวนสนุก และ พิพิธภัณฑ์ จุดที่น่าสนใจเช่น
– Tokyo Joypolis สวนสนุกในร่ม ที่มีเครื่องเล่นมากกว่า20ชนิดให้ได้เล่นกัน รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ http://tokyo-joypolis.com/en/index.html
– พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง Madame Tussauds พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งชื่อดังที่มีสาขาอยู่ทั่วทั้งโลก สาขานี้นับเป็นแห่งแรกที่ญี่ปุ่นเลยครับ http://www.madametussauds.com/tokyo/en/default.aspx
– Tokyo Trick Art Museum พิพิธภัณฑ์ภาพวาด 3 มิติคล้าย Art in Paradise ที่บ้านเรา หรือ Trick art museum ที่บ้านเราก็มีครับ แต่ที่นี่จะเฉพาะเจาะจงเป็นรูปวาดแนวญี่ปุ่นแบบโบราณมากกว่าครับ ค่าเข้าผู้ใหญ่ 900 เยน เด็ก 600 เยน http://www.trickart.info/
– Lego Land สวรรค์ของคนรัก เลโก้ มีพร้อมทุกอย่างที่เป็นเลโก้ ทั้งส่วนโชว์ ส่วนให้เล่น ให้สัมผัส ส่วนจำหน่ายสินค้า รายละเอียดดูได้ตามลิงค์เลยครับ http://www.legolanddiscoverycenter.jp/tokyo/en/plan-your-visit/plan-your-visit.aspx ส่วนรายละเอียดตั๋วเข้า Lego Land ตามลิงค์นี้ครับ จองออนไลน์มีส่วนลดครับแต่ต้องระบุช่วงเวลาก่อน http://www.legolanddiscoverycenter.jp/tokyo/en/tickets-and-offers/ticket-prices.aspx รีวิวตัวอย่างของติวเตอร์ตู่ ที่พาเที่ยว Legoland ครับ http://www.marumura.com/talkative/?id=3146
– Takoyaki Museum ศูนย์อาหารที่รวบรวม Takoyaki เจ้าดังๆทั่วญี่ปุ่นมาไว้ที่นี่ครับ
Odaiba มีอะไรให้เที่ยวมากมายเลยครับ ในเวบนี้จะมีรายละเอียดเพิ่มเติม ทั้งสถานที่เที่ยวต่างๆ การเดินทาง การจัดโปรแกรมเที่ยวใน Odaiba ให้เป็นแนวทางครับ http://www.gotokyo.org/en/shopping/odaiba_guide.html
ในที่สุดก็มาถึงสถานีครับ ซึ่งรถไฟสาย Yurikamome เป็นรถไฟที่ไม่มีคนขับ หลายๆคนก็จะพยายามไปนั่งชมวิวด้านหน้าติดกระจกกันครับ เรามาไม่ทันด้านหน้าเต็มไปเรียบร้อย แน่นขนัดกันเลยทีเดียวครับ
แพลนแรกที่วางไว้คือจะไปดู Lego land และ Trick Art museum ที่ DECKS เราก็ลงที่สถานี Odaiba-Kaihin Kouen
เดินตามทางมาครับจะเห็นตึกนี้อยู่ไกลๆ
แผนที่แต่ละชั้นครับ ซึ่งที่นี่จะเป็น2ตึกคู่กัน Seaside Mall กับ Island Mall ครับ มีทางเชื่อมเดินทะลุกันได้ และจะมีSeaside Deck ซึ่งก็จะเป็นส่วนของJoyPolis อยู่ข้างๆกันครับ
เดินเข้ามาถึงก็แวะหารองเท้าให้หม่าม้าก่อนเลยครับเจอร้าน ร้าน ABC Mart ครับ บู้ทหนังคู่ชีพเก็บไว้นานเกินปากอ้าไปเรียบร้อยตั้งแต่สุวรรณภูมิ
ราคาก็รุ่นใหม่ๆมีลด10-15% ครับ แล้วก็มีรุ่นที่นำมาลดกัน30-50%ก็มีครับ
ผ่านด่านแรกเรียบร้อยขึ้นบันไดเลื่อนจะไปชั้น 6 Lego Land แต่ดันมาเจอ กระต่ายตัวนี้แต่ไกล นี่ร้านกระต่ายน้อยที่โด่งดังนี่เอง ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล ขอแวะหน่อย มีครบเลยครับ เสื้อผ้า หนังสือ ของเล่น ขนม ของใช้เด็ก
ใช้เวลากันพักใหญ่ๆๆๆๆๆเลยครับ เจอแบบนี้อดใจไม่ไหวกันเลยทีเดียว
179 เยน 50กว่าบาทได้ โอ้ววววว
สารพัดผงโรยข้าว ขนมต่างๆเพียบบบบบ
หม่าม้า เบลล่าว่า เราไปเที่ยวต่อดีมั้ยคะ
ได้มานิดหน่อยครับ นิดหน่อยจริงๆนะ
ช๊อปปิ้งกันเรียบร้อย เบาๆ(กระเป๋านะครับ) ดูเวลาก็ได้เวลามื้อเที่ยงของเบลล่าแล้ว หลังจากเดินสำรวจร้านต่างๆ ดูแล้วร้านนี้คนเยอะสุด โดยเฉพาะเด็กๆ เราเลยเลือกร้านนี้ครับ
เป็น International buffet ครับ
เบลล่าขอเติมพลังก่อนนะคะ
น้ำแฟนต้าเมลอนแบบสเลอปี้ ว้าววว เยี่ยมเลย
กินไปชมวิวสวยไๆปครับ
เจอชามนี้ ต้มยำกุ้ง ขอลองหน่อย กินไปแล้วน้ำตาจะไหล นี่ต้มแกงกะหรี่กุ้งนะจ๊ะ ไม่ใช่ต้มยำ T-T
มุมโปรดเด็กๆครับ ไอศครีมหลากรส
ขนมหวาน เค้ก เยลลี่
เด็กน้อยชอบสุดๆเลยมื้อนี้
เสร็จเรียบร้อยอิ่มสบายกันไปมื้อนี้ สนนราคาที่1,699 เยนต่อคน สำหรับอาหารกลางวัน (ไม่รวมภาษี) และ 1,999 เยนต่อคนสำหรับผู้ใหญ่สำหรับอาหารกลางวันวันหยุด (ไม่รวมภาษี) และ2,099เยนต่อคนสำหรับมื้อเย็น เครื่องดื่มคนละ199เยนครับ
โดยสรุปคือคล้ายๆร้านที่พาทัวร์ไปกินครับ อาหารหลากหลาย แต่ความอร่อยกลางๆถึงไม่อร่อยในบางอย่างครับ แต่ถ้ามีเด็กๆก็ได้ตรงความหลากหลายครับ เด็กๆน่าจะชอบทั้งคาวหวานครบ เบลล่าชอบตรงที่มีฟองดูว์ครับ ให้พามาดู หยิบขนมจิ้มช็อกโกแลต กลับไปหลายรอบเลยครับ
ออกมาเดินเล่นโซนนี้กันบริเวณชั้น4 แถวๆ Takoyaki Museum ครับ แต่เนื่องจากอิ่มเต็มที่เลยไม่ได้เข้าไปชิมกัน ด้านข้างๆมีทั้งร้านขายของที่ระลึก ตุ๊กตาต่างๆ เล่นเกมส์ ชิงโชค ตู้ไข่กาชาปอง บ้านผีสิง เพียบเลยครับตกแต่งแนวย้อนยุคหน่อยๆ เดินกันได้เพลินๆเลยครับ
เบลล่าเห็นหม่าม้า ปะป๊าหมุนตู้กาชาปอง ก็เลยขอบ้าง ซึ่งหลังจากนั้นพอเห็นตู้แบบนี้ก็จะขอหมุนตลอดเลยครับ
สำหรับตู้กาชาปอง นาฬิกา Line ที่หลายๆคนหากัน นี่ผมเห็นที่นี่ก็มีครับ หรือที่ Aquacity ก็มีเหมือนกัน
แวะเข้าห้องน้ำนี่แล้วแทบอยากไปกินน้ำมาเยอะๆแล้วเข้ามาใหม่ อีกสักรอบ
ดูเวลาล่วงเลยบ่ายแก่ๆแล้ว เราจึงตัดสินใจตัด Lego Land ทิ้ง ไว้เบลล่าโตกว่านี้อาจพามาอีกที ขอเลือกไปที่ Trick Art Museum (จริงๆที่เมืองไทยก็มีครับ แต่ที่นี่มีแนวญี่ปุ่นย้อนยุคเลยขอเข้าไปดูหน่อย ราคาบัตรอยู่ที่ 900 เยนครับ
มีเจ้าหน้าที่มาบรรยายถึงหลักการต่างๆ การถ่าย มุมต่างๆให้ฟังครับ แล้วก็ปล่อยเข้าไป สถานที่ค่อนข้างเล็กเลยครับ แต่ก็ดีที่จะให้เข้าไปได้ทีละกลุ่ม โดยจะเว้นระยะเวลากันสักพัก
แวะโรงเตี๊ยมกินน้ำชากันก่อนนะครับ อิราไซมาเซ โดโซะ
หม่าม้าบอกว่าให้ใส่อินเนอร์เยอะๆคะ
หนูก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าอินเนอร์คืออะไร แต่มันเป็นธรรมชาติคะ
เบลล่าเริ่มงอแง เอ้ย สนุกแล้วครับ
ห้องซูโม่นี่ เบลล่าก็จะเล่นอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ไม่ยอมออก
สนุกสนานเพลิดเพลินกันไป ใช้เวลาเยอะเลยครับในนี้ คนยอะพอสมควร สถานที่ค่อนข้างเล็ก กำแพงสี่ด้านสี่รูปบางทีจะถ่ายรูปลำบากหน่อยครับ ถ้าเทียบกับที่บ้านเรานะครับ ส่วนตัวผมเคยไปแค่ Art in Paradise ที่พัทยา กับ Esplanade ผมว่าที่Esplanade ใหญ่กว่า สะอาดกว่า รูปเยอะกว่า แต่ที่นี่คือได้ธีมญี่ปุ่นครับ ถ้ามีเวลาว่างๆก็แวะมาถ่ายรูปสนุกๆกัน
ออกจากTrick Art Museum เราจะไปต่อกันที่ Aqua City มีแพลนต้องแวะไป Toy R us กับ Baby R us กัน หลายๆคนบอกว่าที่นี่ค่อนข้างใหญ่และของเยอะกว่าที่อื่นครับ การเดินทางก็สามารถนั่งรถไฟมาลงที่สถานี Daiba หรือจะเดินเอาก็ได้ครับ อยู่ไม่ไกลกัน
จากสถานี Daiba เดินตามป้ายไปจะเห็น เทพีเสรีภาพจำลองอยู่ครับ จะอยู่ตรงทางเข้าห้างเลยครับ
แวะถ่ายรูปกันไปเพลินๆครับ มุมเทพีเสรีภาพกับrainbow bridge มุมมหาชนกันเลย
ถ่ายรูปคู่กับน้องหมานิดนึง
บริเวณเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์จะมีตู้ปลาใหญ่ๆ2ตู้ แวะพาเบลล่ามาดูก่อนครับ ช่วงนี้ชอบมากๆ นีโม นีโม ตลอด เลย
ระหว่างนั้นเบลล่าก็เริ่มส่งสัญญาณอีกแล้วครับ ขอกินนม ก็เลยให้หม่าม้าเล้งพาไปห้องให้นม
มาดูกันนะครับว่าห้องให้นม ห้องเด็กอ่อนที่นี่จะเป็นอย่างไร สู้ที่เมืองไทยได้มั้ย
จากการสอบถามจากผู้ใช้งาน หม่าม้าเล้ง ได้ความว่าของเมืองไทย โดยเฉพาะที่ ชิดลม ชนะขาดครับ ^^
ระหว่างการกินนมมื้อบ่ายเบลล่าก็ชาร์จแบตหลับต่ออีกประมาณชั่วโมงกว่า สองวันที่มาทริปนี้เราพอจับตารางเวลาเบลล่าได้แล้วครับ บ่ายสามปุ๊ปปิดสวิทช์ทันที ทำให้วันหลังเราแพลนตารางเผื่อเวลาได้ง่ายขึ้น พอตื่นก็เดินสำรวจห้างกันนิดนึงครับ ใช้เวลาพักใหญ่ๆเลยครับ
เสร็จจาก Toy R Us ก็ไปต่อที่ชั้น3ครับ Disney Store ครับ เราตั้งใจมาซื้อตั๋วดิสนีย์แลนด์ที่นี่ครับ ราคาเท่ากับซื้อออนไลน์ครับ แต่ขอมาดูสภาพอากาศใกล้ๆจะได้เลือกวันอีกทีครับ ซึ่งนอกจากจะได้ตั๋วแล้ว ขอบอกว่าตัวเลข50% ดึงดูดสายตามากครับ สาขานี้ของลดราคาค่อนข้างเยอะมากเลยครับ เบลล่าก็เลยได้ทำความรู้จักกับมิกกี้มากขึ้นก่อนไปเจอตัวจริงที่ดิสนีย์แลนด์ ^^
ข้างๆกับ Disney Store เป็นGapครับ เราเดินผ่านๆมีพนักงานยื่นกล่องมาให้จับส่วนลดไปใช้ในร้าน ก็เลบหยิบเล่นๆ อู้วววว ลด40%
จากนั้นเราไปต่อที่ชั้น4ครับ Daiso ร้าน100เยนเจ้าดังของที่นี่อีกแห่งนึง
นับเป็นช่วงเวลาสนุกสนานของเบลล่าเลยครับ ของเยอะแยะเลย เดินเข้าช่องนู้นช่องนี้สนุกเลย
เวลาผ่านไปเร็วมากๆครับ เราต้องรีบไปต่อกันที่ Venus fort ครับ หามื้อเย็นกินกัน การเดินทางก็ขึ้นรถไฟจากสถานี Daiba ไปลงที่ Aomi
มื้อเย็นเราจะฝากท้องกันที่ร้านนี้ครับ Benitora Chinese เดินเข้ามาเกือบสุดเลยครับ อยู่ตรงข้ามกับ kiddy land (สาขานี้ของไม่เยอะครับ เป็นร้านเล็กๆ) ที่เลือกเพราะดูคนเยอะ มีคนรอคิวตลอดเลยครับ และมีเซ็ตเมนูเด็กครับผม
เซ็ตเมนูเด็กที่ชนะใจเด็กน้อยเบลล่าครับ อันปังแมน
ของผู้ใหญ่ก็เซ็ตนี้ครับ ข้าวผัดกับกุ้งผัดซอส และไก่ราดพริก มีซุปไข่ กับ ขนมจีบเป็นเครื่องเคียง รสชาตโอเคเลยครับ
อิ่มกันเรียบร้อยก็เก็บภาพกันอีกนิดหน่อย เวลาผ่านไปเร็วมากๆ แปปๆ3ทุ่ม ร้านเริ่มทยอยปิดกันหมดแล้วครับ
แต่ที่แปลกใจคือ Ferris Wheel ที่บอกปิด4ทุ่ม แค่วันนี้ตั้งแต่2ทุ่มกว่าๆก็ปิดแล้วครับ กะจะพาเบลล่าขึ้นไปดูวิวซะหน่อย อดเลย >< ลงมาชั้นล่าง Hello Kitty Kawaii Paradise ก็ปิดเรียบร้อยเหมือนกัน
และแล้วได้เวลาเดินทางกลับกันวันนี้เราเปลี่ยนที่นอนมาที่ Mercure Hotel Ginza Tokyo ginza ดังนั้นก็จะใช้เส้นทางตามนี้ครับ นั่งสายYurikamome ไปลงที่สถานีต้นทาง Shimbashi
ขากลับขอนั่งด้านหลังแล้วกันครับ นั่งดูวิวเพลินๆ
ไปถึงสถานี Shimbashi แล้วต่อรถไฟสาย Ginza Line ไปลงสถานี Ginza ครับ
หมดวันที่สองแบบหมดพลังกันเลย ทั้งช๊อปทั้งเล่นไล่จับกับเบลล่าในTrick Art Museum ^^ พรุ่งนี้เราจะต้องออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ เพื่อไปหาฟูจิซัง มารอติดตามกันนะครับฟูจิซังจอมขี้อายจะยอมออกมาให้เห็นกันมั้ย แต่มีเด็กน้อยเบลล่าคนนี้สู้สุดใจ
สู้ม้ายยยยยยเบลล่า สู้ สู้
ตอนที่สองนี้รูปอาจไม่ชัดมากนะครับเพราะใช้มือถือเป็นหลัก เนื่องจากช๊อปเพลิน สัมภาระเพียบเลยไม่สามารถใช้กล้องได้สะดวกครับ ^^
ช่วงสุดท้ายนี้ก็ขอรีวิวโรงแรมทั้ง2แห่งที่เราพักมาแล้วนะครับ
ก่อนอื่นมาดูสาเหตุที่เราเลือกพักแถบ ueno นะครับ
1. เพราะเครื่องลงที่นาริตะ จากนาริตะมี skyliner และรถไฟอื่นๆมาถึง ueno ง่ายๆเลยครับ สะดวกทั้งไปทั้งกลับ ซึ่งถ้าลงสนามบิน ฮาเนดะ อาจพักโซนอื่นน่าจะสะดวกกว่าครับ
2. ใกล้ตลาดอาเมโยโกะ ของกิน ของเล่น แหล่งช๊อปครบครัน
3 ใกล้สถานีรถไฟทุกรูปแบบไปไหนมาไหนสะดวก
4 ใกล้ตึกม่วง Takeya building แหล่งรวมขนม เครื่องสำอางค์ ราคาถูก
Ueno Touganeya Hotel (http://www.tougane-h.com/e/) ถือเป็นอีกหนึ่งโรงแรมขวัญใจคนไทยอีกที่เลยครับ การเดินทางมาที่นี่นะครับก็มาได้3แบบครับ
- มาโดย Metro ออกทางออก2 แปปเดียวครับ แต่กว่าจากรถไฟจะมาถึงทางออก2ก็ไม่ใกล้นะครับ
- มาทาง JR ก็ออกทางออก Asakusa แล้วมาขึ้นสะพานลอยข้ามสี่แยก หรือ จะออกทางออก Iriya Gate ก็จะมาที่สะพานนี้เหมือนกันครับ
- มาจาก Skyliner หรือจากสถานี Keisei Ueno ตัวเปล่าๆเดินโอเคครับ ถ้าของเยอะขากลับนี่เพลียอยู่
ส่วนเรื่องห้องพัก มีทั้งหมด5แบบครับ สนนราคาเริ่มต้น8000เยน ต่อห้อง(2คน) แล้วแต่ห้องนะครับ
- Single สำหรับนอนคนเดียว
- Double แบบเตียงคู่ขนาด140cm×200cm
- Bunk Bed ห้องเตียง2ชั้นครับ
- Twin จะมีเตียงเดี่ยว2เตียง กับโซฟาอีกตัวครับ นอนได้3คน
- Four นอนได้4-5คนครับ เตียงเดียว2เตียง กับเตียง2ชั้น
ซึ่งเราเลือกแบบ Twin ครับ เอาเตียงเดี่ยว2เตียงมาประกบกันจะได้ใหญ่ขึ้นหน่อย นอน3คนได้สบายๆ มีโซฟาไว้วางของเพิ่มเติม หรือเบลล่าอาจให้ป๊าไปนอน><
ขนาดห้องก็จะเล็กๆตามสไตล์โรงแรมญี่ปุ่นครับ วางกระเป๋าใหญ่ที่พื้นก็เกือบเต็มห้องเลย
ห้องน้ำ มีแบ่งสัดส่วนชัดเจน มีอ่างอาบน้ำเล็กๆแต่แค่นี้ก็ฟินแล้วครับ กลับมานอนแช่ทุกวัน
บริการเสริมอื่นๆ ไวไฟทั่วทั้งโรงแรม บริการรับฝากสัมภาระข้ามวันได้เลย เครื่องซักผ้า อบผ้า หยอดเหรียญ vending machine บริการอาหารเช้า(จ่ายเงินเพิ่ม)
บริเวณโดยรอบ อยู่ใกล้ๆกับ Lawson มีร้านข้าวแกงกะหรี่
ส่วนตัวผมกับเล้งชอบครับที่นี่ เดินทางง่าย สะอาด พนักงานเป็นมิตรมากๆ ราคารับได้ ใกล้ลิฟท์ลงสถานีรถไฟ ข้อเสียนิดเดียวคือเดินไปสถานี skyliner ไกลนิดนึง ถ้าสัมภาระเยอะๆก็เพลียล่ะครับ เพราะขากลับเรามี4กระเป๋า กับ1เบลล่า ไม่นับกระเป๋าสะพายส่วนตัวคนละใบ
โรงแรมที่สอง Mercure Hotel Ginza Tokyo (http://www.accorhotels.com/gb/hotel-5701-mercure-tokyo-ginza/index.shtml)ชื่อบอกว่า Ginza แต่มาลงสถานี Ginza Itchome-11จะสะดวกกว่าครับอยู่ใต้โรงแรมเลย แต่ต้องใช้รถไฟสาย Yurakucho Line ถ้ามาสาย Ginza Line ลงสถานี Ginza ทางออก13 ก็เดินสัก5นาที ถ้ามา Hibiya Line ก็ลงที่ Higashi Ginza St
ตัวล๊อบบี้โรงแรมจะอยู่ชั้นสองนะครับ จะเจอซุ้มแบบนี้ที่ชั้นล่างครับ (ขอบคุณรูปจากAgoda นะครับ)
ห้องพัก สนนราคาปกติเริ่มต้นอยู่ที่15000เยน++ คืนนี้เราใช้สิทธิ์ free night ขอ non smoking area เพราะมีเด็กเล็ก ขึ้นลิฟท์มาเดินสุดทางเลยครับ
ถึงแล้ว ห้องของเราคืนนี้
เตียงคู่ นอนสบายๆครับ3คน
ห้องน้ำ มีอ่างอาบน้ำขนาดปกติครับ แช่สบายเลย^^
บริการเสริม ไวไฟมีเฉพาะล๊อบบี้ อาหารเช้า(เราจองแบบfree night เลยไม่มีครับ)
บริเวณโดยรอบ มีร้าน Mcdonald ไว้ฝากท้องเวลาหิว เปิด24ชม มี Lawsonอยู่ใกล้ๆ ส่วนห้างบริเวณนี้จะปิด2ทุ่มครับ กลับมาปุ๊ปปิดหมดเลย ><
โดยสรุปก็คือ ราคาปกติสูงนิดนึง ส่วนการเดินทางก็สะดวกดีครับยิ่งถ้าจะไป DisneyLand สามารถขึ้นรถไฟจากใต้โรงแรมตรงไปได้เลยครับ และใกล้แหล่งช๊อปปิ้ง(เปิด10.00-20.00) แต่ทางขึ้นลงสถานี Ginza เป็นบันไดนะครับ ถ้าลิฟท์นี่ไม่แน่ใจว่าอยู่ตรงไหนเหมือนกันครับ
ขอฝากของแถมให้อีกนิดครับ ทริปนี้ผมมีร้านที่อยากไปมากๆแต่เวลาไม่เอื้ออำนวย ฝากเพื่อนๆไปกินแทนด้วยนะครับ เอารูปเมนูมาฝากครับ เครดิตคุณCalamity ครับ
และเผื่อเพื่อนๆจะได้ไปพักแถว Ueno ผมขออนุญาตเอาลายแทงร้านเด็ดของคุณ Skybox มาลงที่รีวิวนี้นะครับ
หมายเลข 1 คือ สถานี JR Ueno
หมายเลข 2 คือ สวน Ueno
หมายเลข 3 คือ Mcdonald หรือใครอยากทาน Mos Berger ว่าต้นตำรับเป็นอย่างไรก็อยู่ฝั่งตรงข้ามร้าน Mcdonald นี่ละครับ
หมายเลข 4 คือ ร้าน Ichiran Ramen ราเมงข้อสอบเจ้าดัง
หมายเลข 5 คือ ร้านข้าวแกงกะหรี่ เจ้าอร่อย
หมายเลข 6 คือ ร้านเกี๊ยวซ่ายักษ์
หมายเลข 7 คือ ร้าน Maguro- Ichiba ร้านข้าวหน้าปลาดิบเจ้าดังอีกร้านครับ
หมายเลข 8 คือ ร้านขายของเล่น ร้านใหญ่เลยครับมีหลายชั้น แต่ราคาอาจแพงกว่าย่านAkihabara
หมายเลข 9 คือ ทางเข้าตลาด Ameyayokocho
หมายเลข 10 คือ สถานี Ueno Kaisei line ที่วิ่งไปสนามบินนาริตะ
หมายเลข 11 คือ ทางลง Subway สาย Ginza line และสาย Hibiya line
หมายเลข 12 คือ สถานี JR Okachimachi
สุดท้ายผมก็ขอฝากรีวิวของครอบครัวB&L ของเราไว้ด้วยนะครับ ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ด้วยครับ ตอนต่อไปถือเป็นการตามฝันของพวกเราครับ การพาหนูน้อยเบลล่ามาหาฟูจิซังจอมขี้อาย จะสนุกสนาน ประทับใจขนาดไหน ความฝันเราจะเป็นจริงหรือไม่ รอติดตามได้เลยครับ ^^
ขอขอบคุณ ทุกๆท่านที่ติดตามรีวิวของผม นะครับ หวังว่าคงจะมีประโยชน์กับท่านนะครับ รบกวนฝากไลค์ Facebook Fanpage B&L Family เพจน้องเบลล่า และ Share บทความต่างๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับ ครอบครัวของเราด้วยครับ รีวิวหน้าจะไปที่ไหนกันอย่าลืมมาติดตามชมกันนะครับ ขอบคุณมากๆครับ
ขอฝากช่องทางใหม่ ติดต่อ สอบถาม ทริปการเดินทาง ข้อสงสัยต่างๆอย่างรวดเร็ว ทาง Line Official ID ได้เลยครับ
Pingback: Yokohama Hakkeijima Sea Paradise – Aquarium สุดเจ๋งที่ไม่อยากให้พลาด | BLJourney